วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ตำนานแห่งแห่งศาลาเฉลิมกรุง


มิติอดีต


              
                ตำนานแห่งแห่งศาลาเฉลิมกรุงมิใช่เป็นเพียงโรงภาพยนตร์โรงหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวพันกับความรุ่งเรืองของกรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของความเฟื่องฟูของวงการภาพยนตร์ในประเทศในอดีตที่ผ่านมาด้วย

โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงในอดีต
                 
               ในเวลานั้นได้มีการสร้างโรงภาพยนตร์ที่มีลักษณะสวยงามภูมิฐานเป็นสง่าราศีแก่เมืองได้ ประกอบกับควเมื่อกรุงเทพมหานครจะมีการฉลองกรุงครบ 150 ปี ได้มีการประชุมหารือกันในคณะรัฐบาลเพื่อจัดสร้างถาวรวัตถุขนาดใหญ่ซึ่งสามารถอำนวยสาธารณประโยชน์เป็นที่ระลึกแห่งการเฉลิมฉลอง ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชดำริให้จัดสร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯ กับกรุงธนบุรีให้มีความเจริญพัฒนาทัดเทียมกันพร้อมทั้งได้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไว้ที่เชิงสะพานฝั่งพระนครด้วย เพื่อเป็นที่รำลึกถึงพระองค์ผู้ทรงสถาปนากรุงเทพมหานครและพระราชวงศ์จักรี และในโอกาสเดียวกันนั้น จากแนวพระราชดำริที่ทรงเห็นว่าสิ่งบันเทิงที่เฟื่องฟูมากที่สุดในโลกยุคนั้นก็คือ ภาพยนตร์ และแม้ว่าามที่ทรงรอบรู้และเป็นนักนิยมภาพยนตร์ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์กว่า 9 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงภาพยนตร์สำหรับฉายภาพยนตร์เสียงขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย อีกทั้งยังมีลักษณะภูมิฐานเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศได้


โรงภาพยนตร์สำหรับฉายภาพยนตร์เสียงขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย

               ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร สถาปนิกผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันชั้นนำของประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ได้พระราชทานนามของโรงมหรสพเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ออกแบบและเป็นอนุสรณ์แห่งงานเฉลิมฉลองกรุงเทพฯ 150 ปี ว่า    “ศาลาเฉลิมกรุง”

หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร

               ที่ตั้งของศาลาเฉลิมกรุงนี้แต่เดิมในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินบริเวณระหว่างถนนเจริญกรุงและถนนพาหุรัดช่วงหลังวังบูรพาภิรมย์ระหว่างถนนบรูพาและถนนตรีเพชร โดยวางผังตัดถนนเป็นรูปกากบาทในพื้นที่ดินรูปสี่เหลี่ยมนี้ ด้วยว่าเดิมทรงพระราชดำริที่จะทำให้เป็นย่านการค้า แต่แนวพระราชดำรินี้ก็มิได้บรรลุวัตถุประสงค์ คงปล่อยเป็นลายโล่งๆ ที่ตรงกลางมีถนนสองสายตัดกันเหลือไว้ ต่อมาผู้คนเรียกบริเวณนี้ว่า  “สนามน้ำจืด”



ตรงกลางมีถนนสองสายตัดกัน

               นอกจากบริเวณที่ตั้งศาลาเฉลิมกรุงจะเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญแล้ว ที่บริเวณนี้ยังเป็นแหล่งบันเทิงสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของผู้คนในสมัยนั้นอีกด้วยเพราะตลอดแนวใกล้เคียงถนนเจริญกรุงไปจรดสามแยก (ต้นประดู่) เป็นแหล่งรวมโรงมหรสพที่สำคัญของยุคนั้น เช่น โรงภาพยนตร์นาครเขษม โรงภาพยนตร์พัฒนากร โรงภาพยนตร์สิงคโปร์ (ศาลาเฉลิมบุรี) ฯลฯ อีกทั้งบรเวณฝั่งตรงข้ามของศาลาเฉลิมกรุง คือตลาดบำเพ็ญบุญ ก็เป็นแหล่งที่ผู้คนมาเที่ยวหาความสำราญกันคึกคักทั้งจาการรับประทานอาหาร และชมมหรสพการแสดงต่างๆ

ที่นั่งชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงในอดีต

                 จากเหตุผลของความเหมาะสมดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพิจารณาเลือกพื้นที่บริเวณนี้สำหรับสร้างศาลาเฉลิมกรุง อนึ่ง ทรงเห็นว่าที่ตรงนี้เป็นเส้นทางเดียวกับที่ตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์และสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกด้วย  การก่อสร้างอาคารศาลาเฉลิมกรุงเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2473   โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมา
ทรงวางศิลาฤกษ์ด้วยพระองค์เอง จากนั้นบริษัทบางกอกจึงเริ่มงานก่อสร้าง


การสร้างโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง
 หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม  กฤดากร  ทรงออกแบบอาคารศาลาเฉลิมกรุงในรูปแบบสากลสมัย (International Style หรือ Modern Style) หรือที่สถาปนิกรุ่นหลังเรียกว่า Contemporary Architecture ตัวอาคารมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมสูงตระหง่านมั่นคง ผึ่งผาย ตามแบบตะวันตก โครงสร้างของอาคารแข็งแรงมาก รับน้ำหนักได้ดีเยี่ยม ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในขณะเดียวกันก็เปิดเนื้อที่กว้างขวางภายในโดยไม่มีเสามาบังตา ส่วนประกอบอื่น เช่น ผนัง ประตูบานพับ ยังเน้นถึงความปลอดภัยของผู้ที่เข้าไปชมภาพยนตร์เป็นสำคัญ

ทางเข้าโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง

                ในสมัยนั้นอาคารเฉลิมกรุงจัดได้จัดว่าเป็นอาคารที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียขณะนั้น มีความสวยงามเป็นที่น่าตื่นเต้นและภาคภูมิใจของผู้ที่ได้มาสัมผัสชื่นชม สามารถจุผู้ชมได้เป็นพันคน มีการออกแบบตกแต่งภายในอย่างวิจิตรงดงามด้วยศิลปะไทยสอดผสานกับศิลปะตะวันตก มีระบบแสงสีที่แปลกตาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มีระบบเสียงที่สมบูรณ์แบบ มีระบบปิด-เปิดม่านอัตโนมัติ เป็นโรงมหรสพแห่งแรกของประเทศไทยที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ นอกจากนั้นยังจัดฉายภาพยนตร์ชั้นดีโดยเฉพาะภาพยนตร์ต่างประเทศเสียงในฟิล์ม  โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงในยุคแรกเริ่มจึงเป็นที่ชุมนุมของคนที่มีการศึกษาดี มีความรู้ภาษาต่างประเทศและผู้ที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศ


โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง
                 
              ครั้นต่อมาถึงยุงภาพยนตร์ไทยเฟื่องฟู ศาลาเฉลิมกรุงเป็นเสมือนหนึ่งศูนย์กลางวงการบันเทิงอย่างแท้จริง จนนับว่าเป็น “ฮอลลีวูดเมืองไทย” ก็ว่าได้ ศาลาเฉลิมกรุงเป็นศูนย์รวมของแหล่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเป็นศูนย์รวมของผู้คนในวงการภาพยนตร์ไทย ตั้งแต่ผู้สร้าง ผู้กำกับ ดารา ตัวประกอบ ทีมงาน นักพากย์ นักร้อง ช่างเขียนโปสเตอร์ ฯลฯ และเป็นสถาบันในการผลิตบุคลากรทางด้านภาพยนตร์และละครของไทย ศาลาเฉลิมกรุงเป็นเหมือนประกาศนียบัตรรับรองความสำเร็จของบุคคลในสายอาชีพนี้ ตลอดไปจนถึงบริษัทสายหนังต่างๆ ที่มาตั้งกิจการอยู่ในละแวกด้านหลังศาลาเฉลิมกรุง
               ศาลาเฉลิมกรุง ถือว่าเป็นส่วนสำคัญและส่งเสริมให้พื้นที่โดยรอบพัฒนาตัวเองขึ้น จากการเป็นย่านธุรกิจการค้าสำคัญสู่ความรุ่งเรืองในระดับที่เป็นศูนย์กลางความเจริญ และความทันสมัยของยุคนั้น จากเสาชิงช้าลงไปถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา และระเรื่อยตลอดสองฝั่งถนนเจริญกรุงไปจนถึงสำเพ็ง และตลาดน้อยกลายเป็นแหล่งธุรกิจนานาชนิด  ความชื่นชมของประชาชนที่มีต่อศาลาเฉลิมกรุงไม่ได้มีเพียงแต่ในระยะแรกเริ่มเท่านั้น หากยังดำรงต่อมาอีกเนิ่นนานนับเป็นสิบๆปี ศาลาเฉลิมกรุงถือว่าเป็นแหล่งศูนย์กลางความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ของเมืองไทย จนเป็นประเพณีนิยมของคนหนุ่มสาวสมัยนั้นที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ จะต้องมาใช้ชีวิตส่วนหนึ่งสัมผัสกับบรรยากาศของย่านนี้ ขนาดที่ส่าใครไม่รู้จักศาลาเฉลิมกรุงจะถือว่า “เชย” ที่สุดทีเดียว  ศาลาเฉลิมกรุงและย่านใกล้เคียงได้ซบเซาลงไปชั่วระยะหนึ่ง เนื่องจากวิวัฒนาการของสังคม กระแสทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของผู้คน แต่มาบัดนี้ก็ได้ถึงยุคที่ฟื้นฟูให้เฉลิมกรุงกลับมีชีวิตเป็นโรงภาพยนตร์พระราชทานอีกครั้งหนึ่ง   ด้วยอดีตที่ผูกพันกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เข้มข้น ผูกพันกับชีวิตคนเป็นจำนวนมาก ผูกพันกับประวัติศาสตร์ของสังคมไทยในกรุงเทพมหานครเป็นเวลานาน เฉลิมกรุงจึงควรแก่การสนใจ ทะนุถนอมไว้เพื่อให้เป็นโรงภาพยนตร์พระราชทานสมดังพระราชประสงค์สืบไป


โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงในปี พ.ศ. 2532

ศาลาเฉลิมกรุงวันวาน
              
                บทบาทของศาลาเฉลิมกรุงในฐานะโรงมหรสพที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้เป็นสถานที่หย่อนใจสำหรับประชาชน  ก็ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ณ วันอาทิตย์ที่  2  กรกฎาคม  พ..2476  โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว   ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี  (...มูล  ดารากร)   เป็นผู้แทนพระองค์มาประกอบพิธีเปิดศาลาเฉลิมกรุง


บริเวณทางเข้าโรงภาพยนตร์ศษลาเฉลิมกรุง

                 ครั้งนั้น  ประชาชนทั้งหลายได้มาชุมนุมกันอย่างมากมายเพื่อรอชมพิธีเปิดอันเป็นงานมโหฬารและด้วยใจที่จดจ่อรอโอกาสได้สัมผัสกับความอลังการของสถานมหรสพนาม  "ศาลาเฉลิมกรุง" นี้จากข่าวหนังสือพิมพ์ศรีกรุงฉบับวันพุธที่  กรกฎาคม  พ..2476    ระบุว่าในงานพิธิเปิดศาลาเฉลิมกรุงนี้  มีประชาชนพากันไปชุมนุมมากมายจนรถรางและยวดยานต่างๆที่สัญจรในถนนโดยรอบต้องพากันหยุดชะงักอยู่ชั่วคราวและเสียงของประชาชนที่ได้เข้าไปสัมผัสและชมภาพยนตร์ที่ศาลาเฉลิมกรุงต่างพากันออกปากว่ามีทั้งความงามและความสบายตลอดเวลา  นับได้ว่าเป็นโรงมหรสพที่ทันสมัยในเอเชียในขณะนั้น อาจกล่าวได้ว่าโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง  เมื่อสมัยแรกเริ่มนั้นคือความตื่นเต้นและความปลาบปลื้มของประชาชนที่ได้มาสัมผัสและบอกเล่ากันปากต่อปากจนศาลาเฉลิมกรุงมีชื่อเสียง  เลื่องลือไปทั่วพระนครขนาดที่ว่าใครเป็นคนกรุงแล้วไม่รู้ศาลาเฉลิมกรุงจะถือว่าเชยที่สุดทีเดียว
                เพราะโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่งที่ได้รับพระราชทางจากในหลวงรัชกาลที่  7 และเป็นโรงภาพยนตร์ที่หรูหราทันสมัยที่สุดในยุคนั้นเป็นโรงภาพยนตร์สำหรับฉายภาพยนตร์เสียงและมีเครื่องปรับอากาศเป็นโรงแรกในประเทศไทย     มีระบบแสงสีที่แปลกตาและมีระบบเสียงที่สมบูรณ์แบบอีกทั้งโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงยังเลือกฉายแต่ภาพยนตร์ชั้นดี  ทั้งภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศมาตลอด


ราคาตั๋วโรงภาพยนตร์ราคา 12.50 บาท
                
                 




                  ในระยะแรกเริ่มดำเนินการนั้น  อัตราค่าเข้าชมภาพยนตร์ของศาลาเฉลิมกรุงกำหนดไว้ที่ราคาต่ำสุด  7  สตางค์คือแถวหน้า  ติดกับจอเวที  ที่นั่งชั้นล่างถัดมาราคา  12 สตางค์  ที่นั่งชั้นล่างแถวหลังราคา  25  สตางค์ และที่นั่งชั้นบนราคา  40 สตางค์  ส่วนที่นั่งในชั้นบอกซ์สำหรับผู้ชมที่ต้องการชมภาพยนตร์แบบไม่ปะปนกับใครได้กำหนดไว้ในราคาที่สูงเป็นพิเศษกว่าที่นั่งชั้นอื่นๆ  และสำหรับนักเรียนมีการให้ส่วนลดพิเศษ  คือถ้ามาซื้อบัตรเข้าชมรวมกัน  10  คน จะได้ส่วนลดจำนวน  1  คนที่ไม่ต้องเสียค่าบัตรเข้าชม สำหรับรอบการฉายภาพยนตร์ของศาลาเฉลิมกรุงในระยะเริ่มแรก  ฉายวันละ  2 รอบ และค่อยพัฒนาเพิ่มเป็น  รอบ  ในวันหยุดมีการเพิ่มรอบเข้าอีกหนึ่งรอบและได้มีการพัฒนาปรับรอบการฉายมาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน
                        โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงในยุคแรกเริ่มนั้น  ถือได้ว่าเป็นที่ชุมนุมของคนในกรุงเทพมหานครทีเดียว  โดยเฉพาะพวกคนที่มีการศึกษาดี  ทั้งคนที่จบการศึกษาจากต่างประเทศและคนที่ผ่านการศึกษาภาษาต่างประเทศจากโรงเรียนในกรุงเทพฯ  เพราะภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่ฉายอยู่ที่ศาลาเฉลิมกรุง  เป็นภาพยนตร์ต่างประเทศเสียงในฟิล์ม   จะมีภาพยนตร์ไทยอยู่บ้างก็เป็นจำนวนน้อยเต็มที  ด้วยว่าเป็นระยะแรกที่คนไทยเพิ่งจะเริ่มบุกเบิกการทำภาพยนตร์เสียงกัน



การจำหน่ายตั๋วหน้าโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง

                ความชื่นชมของประชาชนที่มีต่อศาลาเฉลิมกรุงไม่ได้มีแต่เพียงในระยะแรกเริ่มเท่านั้น    หากยังดำรงต่อมาอีกเนิ่นนานนับเป็นสิบๆปี     จนก่อเป็นความผูกพันของผู้คนมากมายที่ได้สัมผัสและดำเนินชีวิตเกี่ยวข้องอยู่  บทบาทของศาลาเฉลิมกรุงในวันวานมิใช่เป็นเพียงแค่โรงภาพยนตร์แต่เพียงอย่างเดียวหากยังเป็นภาพสะท้อนของสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง   ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจสภาพสังคมและเศรษฐกิจของไทยในช่วง  60  ปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
                หากกล่าวว่าด้วยทำเลที่ตั้งอันเป็นส่วนส่งเสริมต่อความรุ่งเรืองของศาลาเฉลิมกรุงก็นับเป็นส่วนที่ถูก แต่ในขณะเดียวกันศาลาเฉลิมกรุงเองยิ่งนับว่ามีส่วนส่งเสริมต่อความรุ่งเรืองของพื้นที่บริเวณโดยรอบเป็นอย่างมากเช่นกัน  เพียงเวลาไม่กี่ปีหลังการก่อกำเนิดศาลาเฉลิมกรุง  ถือเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันและส่งเสริมให้พื้นที่โดยรอบพัฒนาตัวเองขึ้น   จากการเป็นย่านธุรกิจการค้าสำคัญสู่ความรุ่งเรืองในระดับที่เป็นศูนย์กลางความเจริญและความทันสมัยของยุคนั้น



ยุคภาพยนตร์

            
                   ส่วนภาพยนตร์ของไทย  แม้ในระยะแรกจะไม่ได้มีการถ่ายทำกันอย่างเป็นทางการ  แต่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าทองแถมถวัลย์วงศ์ฯ (พระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่  5) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นพระบิดาแห่งวงการภาพยนตร์ไทย  ก็ได้ทรงริเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยฝีพระหัตถ์เป็นพระองค์แรกมาตั้งแต่สมัยปี  พ..2433  แล้วภาพยนตร์ส่วนใหญ่จากฝีพระหัตถ์ของพระองค์ท่านคือการบันทึกพระราชกรณียกิจในพระราชพิธีสำคัญๆของรัชกาลที่  โดยนอกจากถ่ายทำแล้วยังทรงเป็นผู้จัดฉายภาพยนตร์นั้นเก็บค่าดูจากสาธารณชนอีกด้วย  จึงถือได้ว่าการถ่ายทำภาพยนตร์ของไทยมีการริเริ่มมาตั้งแต่ครั้งนั้น และในปี  พ..2465  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากรกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน  (พระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ 6)




                     ภาพยนตร์เรื่องบันเทิงของไทยหรือภาพยนตร์ที่มีการถ่ายทำตามเรื่องราวที่คิดขึ้นได้เริ่มต้นหลังจากนั้น  โดยในระยะแรกยังเป็นยุคของภาพยนตร์เงียบอยู่ การพากย์ภาพยนตร์นั้นเมื่อแรกเริ่มในสมัยภาพยนตร์เงียบ  ทางบริษัทภาพยนตร์พัฒนากรซึ่งเป็นบริษัทดำเนินกิจการโรงภาพยนตร์รายใหญ่ตอนนั้น  จนการพากย์กลายมาเป็นอาชีพอีกอย่างหนึ่งของวงการภาพยนตร์ไทยด้วย  และพร้อมกับที่กิจการภาพยนตร์ทั้งไทยและต่างประเทศได้เริ่มแพร่หลายสู่คนไทย  และมีบทบาทเป็นสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลสูง  สามารถเข้าถึงคนทุกระดับชั้นได้  ทางราชการจึงจำเป็นต้องดำเนินการป้องกันมิให้มีการนำภาพยนตร์ที่อาจเป็นพิษภัยต่อสังคมและบ้านเมืองออกฉายเผยแพร่ต่อสาธารณชน
                       ครั้งนั้นรัฐบาลสยามในรัชกาลที่  7 จึงได้ออกกฎหมายเรียกว่า  พระราชบัญญัติภาพยนตร์พุทธศักราช  2473”  ให้อำนาจเจ้าพนักงานตรวจพิจารณาภาพยนตร์ทุกเรื่อง  ก่อนที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้นำออกฉายเผยแพร่ได้  พระราชบัญญัติภาพยนตร์  พุทธศักราช2473”  นี้ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมความบ้างในเวลาต่อมา  แต่ยังถือบังคับใช้จวบจนถึงทุกวันนี้  ในช่วงยุคนี้เองบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุงได้สร้างนักแสดงภาพยนตร์ระดับพระเอกนางเอกจนมีชื่อเสียงเป็นที่นิยมของผู้ชมอย่างกว้างขวางเป็นคู่กัน
            ครั้นพอเริ่มสงครามโลกครั้งที่สองการสร้างภาพยนตร์เสียงของไทยก็มีอันต้องสะดุดหยุดลง  เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตภาพยนตร์  โดยเฉพาะฟิล์มสำหรับการถ่ายทำซึ่งตั้งแต่สมัยแรกเริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่องบันเทิงของไทยจะใช้ฟิล์มขนาด  35 มม. กันมาตลอด  เมื่อขาดแคลนฟิล์มสำหรับถ่ายทำบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ต่างๆก็เริ่มเลิกรากิจการกันไป  มีเพียงผู้สร้างภาพยนตร์ไทยพากย์บางรายที่หันมาใช้ฟีล์มขนาด  16  มม. ผลิตภาพยนตร์ออกมาป้อนตลาดได้บ้างแต่ในที่สุดก็ต้องหยุดชะงักไปในช่วงที่ประเทศไทย ได้เข้าร่วมในยุทธภูมิของสงครามโลกครั้งที่สอง


ฟิล์มขนาด 16 มม. ที่ใช้ในช่วงต้นๆ

                 ภาพยนตร์ฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงที่ภาพยนตร์ขนาด  16 มม.  เริ่มเฟื่องฟูเป็นที่นิยมทั่วไปและในครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้จัดสร้างโรงมหรสพศาลาเฉลิมกรุงขึ้นเพื่อพระราชทาน  ให้เป็นสถานหย่อนใจสำหรับประชาชน  และเป็นที่ระลึกในคราวฉลองกรุงเทพฯครบรอบ 150  ปีนั้น  ทรงเห็นว่าการดำเนินการโรงภาพยนตร์เป็นกิจการต่อเนื่องซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ดูแลให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยดี

ตัวอย่างภาพยนตร์ไทย

ยุคละคร

              ย้อนหลังไปสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้น ภาพยนตร์จากต่างประเทศเริ่มขาดแคลนภาพยนตร์ไทยก็ผลิตกันออมาได้น้อยมากเนื่องจากฟิล์มสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ก็ขาดแคลนเช่นกัน นอกจากการใช้ฟิล์มขนาด 16 มม ซึ่งพอหาได้บ้างมาถ่ายทำภาพยนตร์กันแล้วโรงภาพยนตร์ต่างๆ ก็จำต้องเอาภาพยนตร์เก่ามาฉายซ้ำให้คนดูกัน   ศาลาเฉลิมกรุงโดยบริษัทสหศีนิมาซึ่งเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายภาพยนตร์อยู่ด้วยก็ไม่สามารถหาภาพยนตร์อยู่ด้วยก็ไม่สามารถหาภาพยนตร์อยู่ด้วยก็ไม่สามารถหาภาพยนตร์มาป้อนตลาดได้ทันและเพียงพอแก่ความต้องการ เมื่อระยะเวลาของสงครามเนิ่นนานเข้าก็ต้องใช้วิธีนำเอาภาพยนตร์เก่าๆ ในสต็อกมาฉายวนซ้ำให้นักพากย์ พากย์เล่นลีลาเอาสนุกแก้ขัดกันไปพลาง  จนเมื่อประเทศไทยกลายเป็นยุทธภูมิ หลังจากญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเข้ามาในปี พ.. 2484 แล้วมีการโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตรกิจการภาพยนตร์ไทยก็ได้หยุดชะงักไปโดยปริยายประกอบกับหนังที่มีในสต็อกก็นำมาวนฉายจนสิ้น





ทางศาลาเฉลิมกรุงจึงได้คิดนำละครเวทีมาจัดแสดง โดยแปรเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมที่มีลักษณะเป็นละครร้องซึ่งใช้ตัวแสดงผู้หญิงเล่นทั้งหมดเช่นที่เคยมีเล่นกันโด่งดังอย่างคณะแม่เลื่อน มาเป็นละครพูดที่มีการร้องเพลงสลับบ้างและเป็นการแสดงแบบชายจริงหญิงแท้คือใช้ตัวแสดงผู้ชายเล่นเป็นผู้ชายในเรื่องและใช้ตัวแสดงผู้หญิงเล่นเป็นตัวผู้หญิงเช่นกัน  ละครเวทีในลักษณะนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นที่ถูกใจผู้ชมเนื่องจากได้อรรถรสในการชมมากขึ้น อย่างไรก็ตามละครเวทีที่จัดให้มีขึ้นนี้ก็ยังมีการร้องเพลงในเรื่องอยู่ด้วย จึงจำเป็นที่ผู้แสดงตัวเอกทั้งหลายจะต้องมีความสามารถในการร้องเพลงเป็นพื้นฐานเช่นกัน การทำละครเวทีในสมัยนั้นจะมีการจัดทำกันเป็นคณะที่มีชื่อเสียงก็เช่น คณะศิวารมณ์ คณะปรีดาลัยคณะเทพศิลป์ คณะอัศวินการละคร คณะผกาวลี ฯลฯโดยแต่ละคณะจะมีตัวสดงหลักเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ อาทิเช่น พันคำจะเป็นพระเอกประจำของคณะเทพศิลป์ คณะศิวารมณ์ก็มีสมควร กระจ่างศาสตร์ สอาสนจินดา จอก ดอกจัน ส่วนอัศวินการละคร ก็มีลอง สิมะเสถียร สวลีผกาพันธ์ เป็นตัวเอกยืนโรงประจำเช่นนี้เป็นต้น



ละครเวทีในอดึต

                   ส่วนการจัดทำละครแต่ละเรื่องจะมีการพูดคุยติดต่อตกลงกันระหว่างคณะว่าใครจะจัดแสดงละครเรื่องอะไร เพื่อที่จะได้ไม่เกิดการซ้ำซ้อนกัน แล้วก็มาตกลงกับทางศาลาเฉลิมกรุงในเรื่องกำหนดวันและระยะเวลาการแสดง ซึ่งส่วนมากก็จะอยู่ในระยะประมาณ 2 อาทิตย์ต่อเรื่องผลัดเปลี่ยนกันไป  ละครเวทีที่น่าสนใจในระยะแรกนั้นก็มีเรื่องนางบุญ ใจบาป จากคณะของเซียวก๊กซึ่งมี ม..รุจิรา เป็นพระเอกและมารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นนางเอก ละครเวทีที่โด่งมากในสมัยละครเวทีเฟื่องก็คือเรื่อง พันท้ายนรสิงห์ออกแสดงที่ศลาเฉลิมกรุงได้เพียง 7 วัน ก็เป็นที่กล่าวขวัญของประชาชนทั่วไปและได้ทำการแสดงซ้ำถึง 3 ครั้ง ส่งผลให้เพลงน้ำตาแสงใต้ซึ่งเป็นเพลงในละครเรื่องนี้กลายเป็นเพลงที่คนร้องกันได้ทั่ว และสุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ นัดแสดงหน้าใหม่ก็ได้กลายเป็นพระเอกยอดนิยมของนักดูละครเวทีไปในพริบตา


ละครเวทีเรื่องพันท้ายนรสิงห์

                   นักแสดงอื่นๆ ที่ร่วมแสดงในละครเรื่องนี้ก็เล่นกันได้ดีทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นจอกดอกจันในบทพระเจ้าเสือที่เล่นได้ดีจนพระนางเธอลักษมีลาวัลย์ (พระชายาในรัชกาลที่ 6) ทรงออกปากชม หรือมหาดเล็กอ่อน โดยการสวมบทบาทของสมพงษ์ พงษ์มิตร ที่สามารถเรียกขานเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้ครั้งแล้วครั้งเล่า และผู้เป็นที่ได้เล่นบทมหาดเล็กอ่อนทุกครั้งที่มีการนำละครเรื่อง พันท้ายนรสิงห์กลับมาเล่นอีก  ผู้ที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับจัดแสดงละครเวทีในครั้งนั้นได้แก่ พระนางเธอลักษมีลาวัลย์ พลตรีพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล นาวาอากาศเอกขุนสวัสดิ์ ทิฆัมพร ขุนวิจิตรมาตรา ทวีณ บางช้าง ครูเนรมิต ฯลฯ
            สำหรับดาราละครเวทีที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ก็เช่น พันคำ ส.อาสนจินดา ฉลองสิมะเสถียร สมควร กระจ่างศาสตร์ สวลี ผกาพันธ์ มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา กัณฑรีย์ น.สิมะเสถียร ฯลฯ เป็นต้น และที่ก่อกำเนิดมาพร้อมกับความเฟื่องฟูของละครเวที่ที่ศาลาเลิมกรุงก็คือบรรดานักร้องหน้าม่านที่มาร้องเพลงสลับกับฉากทั้งหลายนั่นเอง  ละครเวทีที่เล่นกันในครั้งนั้น เมื่อเล่นจบหนึ่งองก์จะมีการเปลี่ยนฉากไปตามท้องเรื่องกันทีหนึ่ง ในการเปลี่ยนฉากซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงต้องปิดม่านเพื่อทำการขนย้ายสับเปลี่ยนละตกแต่งฉากใหม่โดยไม่ให้ผู้ชมต้องเสียความรู้สึกกับสภาพความโกลาหลบนเวทีและเพื่อไม่ให้ผู้ชมเกิดความเบื่อหน่ายระหว่างที่รอคอยการเปลี่ยนฉากก่อนละครจะเล่นองก์ต่อไป จึงได้มีการจัดหานักร้องเสียงดีทั้งหลายมาคอยร้องเพลงกล่อมผู้ชมอยู่ที่หน้าม่านเวทีในช่วงเวลาที่ปิดม่านเปลี่ยนฉากอยู่นี้

                      ดังนั้นคำเรียกขานว่า นักร้องหน้าม่าน จึงเกิดจากสภาพการณ์นี้การร้องเพลงหน้าม่านในแต่ละช่วง จะร้องกันประมาณ 2 เพลงตามเวลที่มีอยู่อย่างจำกัด และตลอดทั้งเรื่องของละครเวทีเรื่องนั้นๆ ก็จะใช้นักร้องหน้าม่านสลับกันร้องประมาณ 2 คน นักร้องหน้าม่านเหล่านี้จะเป็นนักร้องเสียงดีที่มีชื่อเสียงมาก่อนหรือไม่ก็จะเป็นผู้เคยผ่านเวทีการประกวดร้องเพลงมาแล้ว ละมาเกิดที่ศาลาเฉลิมกรุงก็หลายคนสาเหตุที่ต้องเจาะจง เลือกนักร้องเสียงดีมาร้องเพลงหน้าม่านเป็นเพราะว่า ในครั้งนั้นการร้องเพลงสลับฉากหน้าม่านจะเป็นการร้องเพลงโดยสดๆ โดยไม่มีวงดนตรีบรรเลงเสริมคอยช่วยเหลือ เมื่อยืนร้องเพลงอยู่ที่หน้ามันนั้น คือพรสวรรค์และความสามารถของนักร้องแต่ละคนอย่างแท้จริง

นักร้องหน้าม่านของศาลาเฉลิมกรุงที่มีชื่อเสียงโด่งดังสมัยนั้นก็มี เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ,สถาพร มุกดาประกร, ชาญ เย็นแข ,คำรณ สมบุญนานนท์ , นคร ถนอมทรัพย์ ฯลฯ
นอกจากความบันเทิงในรูปแบบของละครเวทีและการร้อง เพลงหน้าม่านนี่แล้ว ทางศาลาเฉลิมกรุงการจัดวงดนตรีมาเล่นกันบ้าง วงดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนั้นก็ได้แก่ วงดุริยะโยธิน วงดนตรีทรัพย์สินฯ วงสุนทราภรณ์ เป็นต้น และได้มีการจัดการแสดงอื่นๆ มาเสริมบ้างเช่น การแสดงละครย่อยของคณะจำอวด ซึ่งปกติจะเล่นประจำอยู่ที่ศาลาเฉลิมบุรี โรงภาพยนตร์ในเครือเดียวกัน
          การแสดงมหรสพในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมักจะมีผู้ชมมาชมกันแน่นขนัด เพราะความที่ขาดแคลนการบันเทองเริงรมย์ต่างๆ แม้บางครั้งจะต้องนั่งชมการแสดงพลางเงี่ยหูฟังสัญญาณเตือนภัยทางอากาศไปพลาง แต่ก็มิได้มีการย่อท้อกันแต่ประการใดทั้งผู้แสดงและผู้ชม
บางคราทั้งฝ่ายผู้แสดงบนเวทีและผู้ชมด้านล่างก็ยังได้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในอันที่จะบอกกล่าวร้องเตือนและชักชวนกันหาสถานที่ปลอดภัยหลบหลีก เมื่อมีการโจมตีทางอากาศเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง   ครั้นพอสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงละครเวที่ซึ่งกำลังเฟื่องฟูก็ยังคงยืนหยัดเป็นสิ่งบันเทิงกล่อมขวัญผู้ชมมาตลอดระยะเวลาแห่งการฟื้นตัวของประเทศไทยจากสงคราม และยืนหยัดรอวันกลับมาฟื้นคืนอีกครั้งของภาพยนตร์ไทย  เมื่อสภาพการณ์ของประเทศเริ่มก้าวสู่ความเจริญจากการปรับตัวหลังสงครามเศรษฐกิจการค้ารวมถึงการติดต่อกับต่างประเทศอยู่ในสภาพดีขึ้น อุตสาหกรรมภาพยนต์ไทยจึงฟื้นตัวสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง  นั่นจึงถึงกาลที่ ละครเวทีต้องลาโรงจากศาลาเฉลิมกรุงไปชั่วคราว เพื่อรอวันเวลาที่ผู้รู้คุณค่าจะมาฟื้นคืน
            
                    “ฉันดูละครเวทีที่เฉลิมกรุงสมัยหม่อมเชื้อ หม่อมพร้อมแสดง สนุกมาก ไปดูเกือบจะทุกรอบขนาดช่วงสงคราม ราคาบัตรตอนนั้นตั้ง 1 บาท ฉันยังไปดูเลย หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนมาเป็นฉายหนัง จำได้ว่าคนแน่นต้องใช้เก้าอี้เสริมทุกรอบและใครที่เข้าไปดูหนังมักซื้อน้ำอัดลมและอ้อยติดไม้ติดมือเข้าไปกินกันเป็นประจำ เวลาฉายหนังจบแล้วก็พากันเดินไปตลาดบำเพ็ญบุญเพราะมีทั้งข้าวมันไก่ ข้าวต้ม ซึ่งอร่อยมาก ราคา 2-3 บาท ถ้าเป็นข้าวราดแกงก็ 1 บาท ฉันไปกินกับแฟนเป็นประจำเวลาที่ดูหนังจบ
                                                                        มณี นาควิสัย
                                                                ชาวบ้านรอบๆเฉลิมกรุง
                        
                        ยิ่งนานวัน  ความผูกพันของผู้คนที่มีต่อศาลาเฉลิมกรุงก็ยิ่งเพิ่มทวี  โดยเฉพาะในยุคเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน    ศาลาเฉลิมกรุงถือว่าเป็นแหล่งศูนย์กลางความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ของเมืองไทย  จนเป็นประเพณีนิยมของคนหนุ่มสาวสมัยนั้นที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯจะต้องมาใช้ชีวิตส่วนหนึ่งสัมผัสกับบรรยากาศของย่านนี้  คนในวัย 70 ปีขึ้นไปหลายคนอาจจะรำลึกถึงเมื่อครั้งได้มาสัมผัสกับย่านเฉลิมกรุงในยุคแรกเริ่ม ครั้งที่ยังมีห้างรัตนมาลาห้างสรรพสินค้าที่กำเนิดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่  6  ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนตรีเพชร   มีร้านไนติงเกล   ร้านค้าเครื่องดนตรีซึ่งเปิดกิจการมาตั้งแต่ปี พ..2473
                        ย่านธุรกิจการค้าเดิมกลายเป็นอดีตที่คนรุ่นใหม่เกือบจะไม่รู้จัก หากไม่พลิกผันเปลี่ยนโฉมธุรกิจให้ทันท่วงที  วันคืนแปรเปลี่ยนสรรพสิ่งไปตามกระแสความนิยมของผู้คน   ท่ามกลางกระแสการพัฒนาอันเชี่ยวกราก   ศาลาเฉลิมกรุงได้ยืนหยัดผ่านวันเวลามาด้วยบทบาทอันหนักแน่นมั่นคง   ดุจเดียวกับรูปทรงแข็งแกร่งของตัวอาคารที่ไม่อาจหวั่นไหวกับความคึกคักยามรุ่งเรืองและไม่อาจเจ็บปวดกับภาวะซบเซาร่วงโรย  เป็นเพียงบทบาทของ  ผู้ชม  ที่คอยชมเรื่องราว  ความคิดและความรู้สึกของผู้คนในแต่ละยุคสมัยที่เข้ามาให้ศาลาเฉลิมกรุงได้ชมและสัมผัส  เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นต่อๆไปเท่านั้น




                        
                        ที่สำคัญ  ศาลาเฉลิมกรุงเป็นประหนึ่งประกาศนียบัตรรับรองความสำเร็จของบุคคลในสายอาชีพนี้   นับเป็นเวลายาวนานกว่า  30  ปีที่ศาลาเฉลิมกรุงเป็นเสมือนเสาหลักของวงการภาพยนตร์ไทย  จากยุคแรกสู่ความเฟื่องฟูแล้วกลับซบเซาลง  เมื่อวิวัฒนาการและเทคโนโลยี  ใหม่ๆของโทรทัศน์และเครื่องเล่นวิดีโอได้ก้าวเข้ามาแย่งชิงความนิยมของผู้คนไป
                  ประกอบกับความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมที่ทำให้กรุงเทพมหานครเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว  ย่านธุรกิจการค้าสำคัญเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากแหล่งเดิมความเป็นศูนย์กลางความเจริญและทันสมัย  บ่ายโฉมหน้าไปสู่ย่านสีลม  สยามสแควร์  และเริ่มกระจายออกเป็นจุดๆทั่วกรุงเทพมหานคร

ลักษมี   เพ็ญแสงเดือน
นักแสดง


               โรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง   ทำให้หนังที่พี่แสดงเรื่องแรกซึ่งคือเรื่อง   ยอดหญิง  ได้รับความนิยมและพี่ก็เกิดในวงการนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  เรียกได้ว่าเกิดเพราะศาลาเฉลิมกรุงความคิดของคนสมัยนั้นคือ  หากใครได้ขึ้นมายืนบนเวทีเฉลิมกรุงแล้ว   จะรู้สึกถึงความมีเกียรติ   ความภาคภูมิใจ  เพราะศาลาเฉลิมกรุงคือทุกสิ่งทุกอย่าง

























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น